เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ก.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังเทศน์ ฟังเทศน์คือแจกแจงเรื่องของเราไง เรื่องของเราคือความสุขความทุกข์ในใจของเรา ความสุขความทุกข์ในใจของเรานะมันหมักหมมอยู่ในใจ แต่สังคม คำว่าสังคม เราอยู่ด้วยกันด้วยความอบอุ่น ความอบอุ่น ความคุ้นเคยกัน การช่วยเหลือเจือจานกัน นี่จิตใจมันอบอุ่น อบอุ่นจากเภทจากภัย แต่ในหัวใจของเรา เห็นไหม ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่

นี่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นนะ ในสโมสรสันนิบาต งานเลี้ยงรื่นเริง แต่ทุกดวงใจว้าเหว่ เห็นไหม แล้วพูดถึงว่าเราอยู่ในสังคมที่ว่าเราคุ้นชินกัน เราคุ้นเคยกัน เรามีแต่ความอบอุ่น อบอุ่นเพราะความคิดไง ความคิดที่คน คนเกิดมาแล้วมีความกลัวเป็นสมบัติ มีความกลัวอยู่ในจิตใต้สำนึก มันกลัวไปทุกอย่างแหละ กลัวว่าชีวิตนี้จะเป็นอย่างใด กลัวว่าตายแล้วจะไปไหน กลัวว่าเกิดมาแล้วจะไปไหน นี่มันมีความกลัว พอมีความกลัวขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเราอยู่กับสังคม อยู่กับหมู่คณะมันอบอุ่น แต่ในดวงใจมันก็ว้าเหว่ไง

ฉะนั้น ฟังธรรมๆ ฟังตรงนี้ เวลานักบริหารเราต้องการมืออาชีพ คำว่ามืออาชีพนะ ถ้ามืออาชีพเขาต้องวิเคราะห์วิจัยตามเหตุผลนั้น เวลาเราทำธุรกิจในครอบครัว เขาบอกว่านี่บริหารแบบครอบครัว นี้เราเกิดในครอบครัวเหมือนกัน ถ้าเกิดในครอบครัวของเรา ถ้าเรารับจ้างบริหารล่ะ? เราออกไปบริหารเราก็เป็นมืออาชีพเหมือนกัน แต่เวลากลับมาในครอบครัวของเราล่ะ? กลับมาในครอบครัว ในธุรกิจครอบครัวของเรา เราก็จะดูแลในครอบครัวของเรา แต่เวลาเรารับจ้างบริหาร เราออกไปเป็นผู้จัดการ ผู้บริหารองค์กรต่างๆ นี่มืออาชีพ

คำว่ามืออาชีพนะ ในการปฏิบัติอาชีพ...เรามาวัดมาวากัน ดูพระบวชมาแล้ว นี่นักปฏิบัติอาชีพ เพราะอะไร? เพราะเราเอาจริงเอาจังของเราไป ถ้านักปฏิบัติสมัครเล่น นี่เรามาวัด มาวัดเสร็จแล้วเราประพฤติปฏิบัติแล้วเราต้องกลับ เราต้องกลับ เรามาวัดแล้วจิตใจทำ ๒ หน้าที่ อีกใจหนึ่งก็อยากประพฤติปฏิบัติ อีกใจก็วิตกกังวลว่าหน้าที่การงานของเรา นี่เอามาคิดเอามาใคร่ครวญ

ถ้าความใคร่ครวญ ถ้าคนมีสติปัญญานะ ถ้าเอาสิ่งนั้นมาใคร่ครวญ ใคร่ครวญด้วยปัญญาอบรมสมาธิ ใคร่ครวญด้วยปัญญานะ ปัจจุบันนี้เราอยู่ที่นี่ บ้านของเรา เราจากบ้านของเรามา บ้านนี่หน้าที่การงานมันอยู่ที่บ้าน ทำไมเราไม่เอาหัวใจของเราไว้กับเราในปัจจุบันนี้ ถ้าเอาหัวใจของเราไว้ในปัจจุบันนี้ นี่มันห่างไกลจากที่เราอยู่มันกี่ร้อยกิโลเมตร ถ้ามันอยู่กี่ร้อยกิโลเมตร ถ้าเหตุการณ์เกิดในปัจจุบันนี้เราทำสิ่งใดไม่ได้หรอก แต่ทำไมจิตใจมันไปพะว้าพะวงมากนัก

นี่ถ้าสอนใจด้วยปัญญา เห็นไหม สอนใจด้วยปัญญา นี่เอาเหตุการณ์นั้นมาสอนหัวใจของเรา ถ้ามันสอนหัวใจของเราด้วยเหตุด้วยผล ใช่ ถ้าในปัจจุบันนี้มันเกิดสิ่งใดขึ้นมา เราอยู่ห่างไกลกันเท่าไหร่ เราจะไปคุ้มครองดูแลได้อย่างไร? มันคุ้มครองดูแลไม่ได้หรอก เพราะมันอยู่ห่างกันมาก ฉะนั้น หัวใจของเราไม่ต้องไปวิตกกังวล ไม่ต้องให้มันออกไปคิดที่บ้านนั้น ให้กลับมาอยู่ที่หัวใจของเรา ถ้ามันกลับมาอยู่ที่หัวใจของเรา นี่มันอยู่ที่ปัจจุบัน

ถ้าอยู่ในหัวใจของเรา เห็นไหม เราเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา ใจนี่มันอยู่กับเรา แต่ถ้าเราเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา ใจมันไปอยู่ที่บ้าน นี่ร่างกายอยู่ที่วัด แต่หัวใจมันไปอยู่ที่บ้าน หัวใจมันออกไปรับรู้สิ่งข้างนอกไปหมดเลย นี่มันไม่เป็นมืออาชีพ ถ้ามันเป็นมืออาชีพล่ะ? มืออาชีพนะ การเคลื่อนไหวของใจมันรู้ของมันนะ ถ้าจิตใจของเรานะ ถ้าจิตใจของเราปกติ จิตใจของเราดีมันจะมีหลักมีเกณฑ์ของมัน คำว่ามีหลักมีเกณฑ์มันอบอุ่นไง นี่ปฏิบัตินะ ถ้าเราปฏิบัติถ้าเป็นมืออาชีพนะ เวลาจิตมันเสื่อม พอจิตมันเสื่อมนะมันก็ตั้งสติไว้ จะเสื่อมให้มันเสื่อมไปไหน?

นี่เวลาหลวงตาท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาจิตเสื่อมๆ เวลาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่า “มหา อย่าเสียใจไปเลย จิตนี้ก็เหมือนเด็กๆ เด็กๆ มันหากินไม่เป็นหรอก เด็กๆ มันต้องยื่นมือขอพ่อแม่มัน”

จิตนี่นะเวลามันวิ่งออกไปข้างนอก เวลามันเสื่อมมันก็คิดไปร้อยแปดพันเก้านั่นแหละ กำหนดพุทโธ พุทโธไว้ พุทโธนี้เป็นอาหารของใจ กำหนดพุทโธ พุทโธไว้ เด็กพอมันหิวขึ้นมานะ เดี๋ยวมันต้องกลับมากินข้าวที่นี่ไง มันจะวิ่งไปไหนให้มันวิ่งไป มันจะไปไหนให้มันไป มันจะเสื่อมขนาดไหนให้มันเสื่อมไป เรากำหนดพุทโธของเราไว้ แต่นี่ไม่ พอจิตมันเสื่อมนะ เด็กมันไปเที่ยวเล่นนะก็วิ่งหามันไง วิ่งหามันเด็กมันยิ่งไปไกล วิ่งหาที่ไหนมันก็หาไม่เจอ

นี่ก็เหมือนกัน เราคิดของเราไง อ้าว ก็เด็กเราหาย จิตเราหาย ความรู้สึกเราหาย ถ้าความรู้สึกเราหายเราจะนอนใจได้อย่างไร? เราก็วิ่งหาความรู้สึกเราใช่ไหม? วิ่งหาใจเราใช่ไหม? ยิ่งวิ่งหายิ่งไม่เจอไง แต่ถ้าเราพุทโธ พุทโธ เห็นไหม เราสะสมไว้ สะสมเงินทองไว้เถอะ เดี๋ยวลูกมันจะแบมือมาขอเองแหละ มีเท่าไหร่เดี๋ยวลูกก็จะแบมือมาขอ นี่เราพุทโธ พุทโธไว้นะ พอพุทโธไว้ สตินี่ใครระลึกพุทโธ?

เวลาองค์ของสมาธิ เห็นไหม วิตก วิจาร ...พุทโธ ถ้าพุทโธมันอยู่ในหนังสือมันก็เป็นพุทโธ มันเป็นชื่อพุทโธแล้วอยู่ในหนังสือ เราเขียนพุทโธไว้สิ เขียนพุทโธ เราพูดอัดเทปไว้พุทโธ เราเปิดฟังสิมันก็เป็นพุทโธ นี่พุทโธอย่างนั้นมันเป็นเรื่องของธาตุ เรื่องของวัตถุ มันไม่ใช่เรื่องความจริง แต่เราระลึกสิ คิดถึงบ้าน คิดถึงหน้าที่การงานแล้วมันทุกข์มันร้อน คิดถึงพุทโธสิ ถ้าเราคิดถึงพุทโธนี่วิตกเกิดขึ้น จิตมันไปเกาะที่พุทโธ

นี่เกาะพุทโธ จิตมันไปเกาะ จิตที่มันไปคิดร้อยแปดพันเก้านั่นแหละ มันไปของมันเพราะมันไม่มีหลักยึด มันไม่มีที่อาศัยมันก็คิดร้อยแปดพันเก้า พอมันมาคิดพุทโธมันระลึกพุทโธ ระลึกขึ้น นี่วิตกขึ้น วิตกคือการกระทำ ถ้าเราไม่วิตกขึ้นมันก็ไม่มี พอเราวิตกขึ้นมา วิตก วิจาร พุทกับโธ วิตก วิจาร วิตกว่าพุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม มันเกิดปีติ เกิดปีติถ้ามันสงบระงับเข้ามาเกิดปีติ เกิดสุข เกิดเอกัคคตารมณ์จิตมันตั้งมั่น

นี่จิตใจที่มันหาย มันเร่ร่อนของมันไป เรานึกพุทโธ พุทโธไว้อาหารมันอยู่ที่นี่ มันต้องวิ่งกลับมาที่นี่ มันต้องวิ่งกลับมาหาอาหารของมัน แต่ถ้าความไม่เข้าใจ นี่เราไม่ใช่มืออาชีพ เราไม่ใช่มืออาชีพนะ เราก็เข้าใจว่า เข้าใจว่าสิ่งที่หายเราต้องหามัน สิ่งที่หายเราต้องค้นคว้ามัน ค้นคว้ามันจะได้เจอไง ไปตามมันแล้วจะได้กลับมาหาเราไง ยิ่งตามไปมันก็ยิ่งหาย ยิ่งหาไม่เจอไง แต่ถ้าเรากลับมากำหนดพุทโธ พุทโธ เห็นไหม หรือปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิอย่างที่ว่า

นี่งานก็คืองาน เราก็วางไว้แล้ว นี่เราก็เสียสละตัวเรามาแล้ว เราก็เสียสละมาปฏิบัติแล้ว ทำไมมันไปคิดแต่เรื่องงานล่ะ? เวลาทำงานอยู่ก็คิดว่าอยากจะไปปฏิบัติ มันไม่เป็นปัจจุบันเลย มันส่งไปอนาคตหมดเลย อนาคตคือสมบัติบ้า สมบัติบ้าคือมันยังไม่มา สมบัติบ้านะคิดไปหมดเลย จินตนาการไปทั่วเลย นี่สมบัติบ้า แต่ถ้าสมบัติของเรามันอยู่กับเราจริงๆ นะ

สมบัติของเรา ของของเรามันอยู่กับเรา สมบัติบ้ามันยังไม่มา ถ้ามันไม่มามันคิดวิตก วิจารไปมันก็ทุกข์ไปอย่างนี้ไง แต่ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันวางนะ มันวางสมบัติบ้า แล้วมันจะอยู่กับสมบัติจริง สมบัติจริงคือจิตมันมีตัวตนอยู่กับเราไง ถ้ามีตัวตนอยู่กับเรา มีความรู้สึกอยู่กับเรา นี่ปฏิบัติมืออาชีพมันจะรู้ ถ้ามันรู้ว่ามันเจริญแล้วเสื่อมอย่างไร

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีการกระทำ สิ่งนี้มันมาได้อย่างไร? เห็นไหม ว่าจิตนี้เป็นนามธรรม กิเลสก็เป็นนามธรรม แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว นี่มันละเอียดลึกซึ้งนักจะสอนได้อย่างไร? ก็สอนอย่างนี้ไง ถ้าสอนอย่างนี้ ถ้าภาคปริยัติเราก็ศึกษาเอา นี่ศึกษาเรารู้จักชื่อมันหมดแหละ เรารู้จักชื่อ รู้จักเสียง รู้จักหมดทุกอย่างเลย แต่เราไม่เคยเห็นตัวตนของมันเลย

เหมือนนักบริหาร เห็นไหม นี่เราก็จะฝึกฝนของเรา ทำอะไรไปนะ เราไปฝึกงานเจ้านายจะบอกว่าผิดๆๆ ไอ้คนที่ฝึกงานงงนะ ทำอะไรก็ผิด ทำอะไรก็ผิดไง แต่นักบริหารเขาเห็นของเขา นี่ทำอย่างนี้มา เริ่มต้นมันผิดมา เดี๋ยวมันจะยุ่งไปหมดเลย เพราะเริ่มต้นผิดมา ท่ามกลางก็ผิด ที่สุดมันยิ่งไปพันกันยุ่งเลย เริ่มต้นต้องให้ถูกสิ

ทีนี้คนปฏิบัติใหม่นะ บอกว่าทำไมมันยุ่งขนาดนี้ล่ะ? ทำไมต้องตั้งสติล่ะ? ทำไมมันวุ่นวายอะไรขนาดนี้? เราก็ทุกข์มาพอแรงแล้วล่ะ เรามาก็จะเอาความสุขสบาย เห็นไหม ทางโลกเขาคิดไง จะไปบวชพระ บวชทำไมรู้ไหม? บวชไปพักผ่อน บวชพระจะบวชไปพักผ่อน บวชไปนอนวัดไง ด้วยความคิดเขาคิดว่าบวชแล้วสบายไง

ทีนี้เวลาเราบวชนะ บวชด้วยความเห็นภัยในวัฏสงสารใช่ไหม? เรารู้ใช่ไหม? เรารู้อยู่ว่าชีวิตนี้เกิดมา นี่เกิดมาเป็นอริยทรัพย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่การเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาเพื่อสร้างสมบารมี เกิดมาเพื่อการกระทำ เกิดมาเพื่อจะชำระล้างกิเลส ถ้าเกิดมาเพื่อจะชำระล้างกิเลสนี่เราเห็นภัยในวัฏฏะ เห็นภัยในวัฏฏะนะ ถ้ายังอยู่กันอย่างนี้ นี่จะมั่งมีศรีสุขอย่างใด จะทุกข์จนเข็ญใจอย่างใด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด จิตนี้ต้องออกจากร่างนี้แน่นอน

การตายคือจิตนี้เคลื่อนออกไปจากร่าง แต่จิตมันไม่ได้ตาย แต่คนตาย คนนี่ตายแต่จิตไม่เคยตาย จิตนี้เคลื่อนออกจากร่างไปมันก็หมดชีวิตในโลกนี้ แต่จิตมันไม่เคยตาย จิตไม่เคยตายมันก็เวียนว่ายตายเกิดต่อของมันไป ถ้าจิตมันเวียนว่ายตายเกิดของมันไป นี่เราเห็นภัยในวัฏสงสารอย่างนี้ไง เราถึงจะมาประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราก็ต้องมีสติขึ้นมา เห็นไหม นี่เวลาทรัพย์สมบัติมันเป็นของเรา นี้เป็นทรัพย์สมบัติทางโลกนะ เป็นสมบัติสาธารณะ เราจะเจือจานใครก็ได้ เราจะเอาไปใช้ประโยชน์สิ่งใดก็ได้ เราจะทำบุญสิ่งใดก็ได้

นี่เป็นสมบัติสาธารณะยื่นให้กันได้ เจือจานกันได้ ช่วยเหลือเจือจานกันได้ แต่เวลาปฏิบัตินะ เวลาปฏิบัติเป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง มันเป็นของส่วนบุคคล เราเป็นสมาธินะ ใครปฏิบัติสมาธิแล้ว แล้วจะเอาสมาธิไปฝากคนอื่นได้ไหม? เออ วันนี้เอาสมาธิมาฝากนะ วันนี้เอาปัญญามาฝากนะ ใครโง่ๆ ก็เอาปัญญายัดใส่หัวมันนะมันจะได้ฉลาดขึ้นมา มันเป็นไหม? นี่สิ่งที่มันจะโง่เง่าขนาดไหน มันก็เป็นเวรกรรมของคน

ถ้าเวรกรรมของคน เห็นไหม นี่ทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่าเรามีลูกนะ ตั้งแต่ ๑-๓ ขวบ ต้องกอดไว้ ให้ความอบอุ่นไว้ เพราะสมองมันจะพัฒนาตรงนั้น ถ้าสมองพัฒนาตรงนั้นเด็กมันจะฉลาด เด็กมันอยู่ตรงนั้น ตรงนั้นถ้ามันพ้นจากวัยแล้วนะมันสมบูรณ์ของมันแล้ว ความคิดมันจะเป็นแบบนั้น นี่พูดถึงทางวิทยาศาสตร์นะ แต่ถ้าพูดถึงทางธรรมล่ะ? ทางธรรม เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่อายุเท่าไหร่ล่ะ? สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ บางทีภิกษุผู้เฒ่าบวชเมื่อแก่ นี่ไปขอกรรมฐานเข้าป่าไปปฏิบัติ ถ้าสิ้นสุดเป็นพระอรหันต์ แล้วกี่ขวบล่ะ?

นี่เวลาจิตใจมันพลิกมันเปลี่ยนแปลงนะ ขณะจิตที่มันเป็น ถ้าขณะจิตมันมีนะ ถ้ามันไม่มีขณะจิตมันเป็นไปโดยประสบการณ์ ประสบการณ์เราก็มีของเราไป เราก็มีความรู้สึกของเราไป เห็นไหม แต่ขณะมันไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าขณะมันไม่เปลี่ยนแปลงนะ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายนี้เป็นอนัตตา สรรพสิ่งนี้เป็นอนัตตา นี่ประสบการณ์ของใจมันก็ประสบการณ์ของมันไป แต่ขณะที่มันพลิก มันเป็นอนัตตาไหม?

กุปปธรรม อกุปปธรรม อกุปปธรรมพ้นจากความเป็นอนัตตา คงที่ของมัน ถ้ามันเป็นอนัตตามันต้องแปรสภาพ มันต้องแปรปรวนของมัน แล้วถ้าโสดาบันมันแปรปรวนไหม? โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันแปรปรวนไหม? มันไม่แปรปรวน ถ้ามันไม่แปรปรวนมันจะอยู่ในกฎอนัตตาได้อย่างไร? มันไม่อยู่ในกฎอนัตตา มันเป็นกฎอนัตตาไม่ได้ ทีนี้เป็นกฎอนัตตาไม่ได้ นี่ไงเวลาจิตที่มันเป็นไป จิตที่มันเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงเพราะอะไรล่ะ? เปลี่ยนแปลงมันต้องมีเหตุมีผลสิ

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ไม่มีสิ่งใดลอยมาจากฟ้า ไม่มีสิ่งใดเป็นของฟรีนะ เวลาเราทุกข์ เรายากอยู่นี่เราบอกเราทุกข์เรายาก เราทุกข์ยากเพราะเหตุใด? ทุกข์ยาก เห็นไหม ถ้าในพุทธศาสนาเราก็บอกนี่สภาคกรรม ทั้งสังคมเลยเวลามันเสื่อมมันเสื่อมไปทั้งสังคมเลย เวลามันเจริญมันเจริญทั้งสังคมเลย นี่คือสภาคกรรม เราทำเวรทำกรรมร่วมกันมาเราถึงมาเกิดในสังคมร่วมกัน แล้วเกิดสังคมร่วมกัน แล้วส่วนบุคคลล่ะ?

ในสังคมนั้นถึงจะเสื่อมทรามขนาดไหน แต่ก็มีคนดีในสังคมนั้น สังคมนั้นจะสูงส่งขนาดไหนก็มีคนเลวในสังคมนั้น สังคมนั้นต้องมีคนดีคนเลวทั้งนั้นแหละ มันไม่มีสังคมใดดีไปทั้งหมดและเลวไปทั้งหมด ถ้าสังคมมันไม่ดีและเลวไปทั้งหมด แล้วมันเป็นเพราะอะไรล่ะ? เป็นเพราะอะไร? นี่กรรมส่วนบุคคลแล้ว การกระทำของเรา การกระทำ กรรมคือการกระทำ ถ้าการกระทำมันเป็นจริตเป็นนิสัยที่มันสะสมมา จิตไม่เคยตายๆ คนนี่ตาย ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด จิตนี้ต้องเคลื่อนออกจากร่างกายนี้ไปแน่นอน แล้วไปเกิดสถานะตามเวรตามกรรมของมัน แล้วมันจะพัฒนาของมัน

พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สร้างบุญญาธิการของพระองค์มา จิตของเรา ถ้าเราทำของเรามามันจะมีอำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมีอย่างไร? อย่างเช่นเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น คนมองเหตุการณ์นั้นแล้วก็มีความรู้สึกแตกต่างกันไป มุมมองของคนมันแตกต่างกันไปทั้งหมด ถ้ามีเหตุการณ์สิ่งใดเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่เราไปเห็นสิ เห็นสุนัขที่มันเจ็บ มันป่วย บางคนจิตใจเศร้าหมอง จิตใจนี่เวทนา แต่บางคนเห็นสุนัขมันเจ็บป่วยนะไม่มีความรู้สึกอย่างใด บางคนบอกว่ามันเกะกะ มันเป็นของสกปรก นี่จิตใจของคนมันแตกต่างกัน

นี่ไงพันธุกรรมของจิต ถ้าจิตมีพันธุกรรมของมัน เห็นไหม ในการกระทำ สิ่งนี้สิ่งที่ทำของเขามา ถ้ามันพิจารณาของมันเข้าไป มันต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างเห็นไง ถ้าต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างเห็น นี่ต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างเห็นตามจริง ตามมุมมองที่มองเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์นั้นที่เกิดขึ้นมา มุมมองของแต่ละคนมองแตกต่างกันไป มองแตกต่างกันไปเพราะว่ามุมมองเรื่องพันธุกรรม เรื่องจริตนิสัยมันแตกต่างกัน พอมันแตกต่างกัน การปฏิบัติมันแตกต่างกัน แต่ผลเวลาจิตที่มันพลิกไง

จิตที่มันพลิกมันมีขณะจิตของมัน ขณะจิตมันต้องมีเหตุมีผล ถ้ามีเหตุมีผลขึ้นมา มรรคญาณมันหมุนไปอย่างไร? พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นความจริงอย่างไร? ถ้าความจริงมันเกิดขึ้นมา ถ้าขณะจิตมันเป็นจริงขึ้นมา มันสมุจเฉทมันขาด พอมันขาดขึ้นมานี่อกุปปธรรม อกุปปธรรมที่มันเกิดขึ้นมา แล้วคนที่ได้ผ่านกระบวนการอย่างนี้มา แล้วมันจะเอากระบวนการอย่างนี้มาสื่อกับเราไม่ได้หรือ? มีไหม? คนที่ผ่านกระบวนการของใจมาอย่างนี้ แล้วบอกว่าพูดไม่ได้ๆ เป็นไปได้ไหม?

ถ้ามันพูดไม่ได้ก็คือมันไม่รู้ไง ถ้ามันพูดไม่ได้ก็คือมันไม่เห็นไง มันเห็นตามตำราไง เห็นตามตำรา ตำราสอนกันมาอย่างนั้น ทุกอย่างทำมาอย่างนั้น นี่ตามตำราเขาสอนมาอย่างนั้น เห็นไหม ทีนี้ปริยัติต้องศึกษาไหม? ต้องศึกษา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ การศึกษา ศึกษามาแล้ววางไว้ แล้วทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา เราจะทำให้เป็นมืออาชีพไง ถ้ามืออาชีพนะ ใช่ ในทางตะวันตกเขาว่าทางตะวันออกนี่สังคมอุปถัมภ์ มันก็อุปถัมภ์ อุปถัมภ์เพราะความผูกพัน ศาสนาสอนอย่างนี้

ขงจื้อ ขงจื้อสอนครอบครัวใหญ่ พุทธศาสนาสอนถึงความกตัญญูกตเวที ถ้าความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ถ้าคนมันดีทำอะไรมันก็ดีขึ้นมาไง ถ้าคนมันไม่ดีล่ะ? เห็นไหม มืออาชีพๆ เวลามันทุจริตนะมันยึดบริษัทไปเลย บริษัทมันเอาไปเลย มืออาชีพไง มืออาชีพมันโกงหมดเลย นี่มืออาชีพ เห็นไหม มืออาชีพถ้าเป็นคนดีด้วยล่ะ?

ฉะนั้น ทางตะวันออกถ้าเป็นอุปถัมภ์ คำว่าอุปถัมภ์ มันอุปถัมภ์เพราะว่าความเป็นผู้น้อย เป็นผู้ใหญ่มันมีจากวัฒนธรรมไง ถ้าวัฒนธรรมมีอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ จิตใจเราสอนอย่างนี้ เราก็เกิดมา เห็นไหม ตั้งแต่เด็กเราเกิดมาเป็นผู้ใหญ่ ต่อไปเราก็จะชราภาพไปข้างหน้า ผู้เฒ่าในหมู่บ้านนะเขาเป็นที่ปรึกษา ถ้าสังคมพุทธนะเขาจะถืออาวุโส ถ้ามีอะไรจะปรึกษาผู้เฒ่า เด็กมันก็ไม่ต้องไปพยายามทดสอบของมัน มันปรึกษาของมันได้ นี้พูดถึงสังคม

ฉะนั้น สังคมแล้วก็ย้อนกลับมาดูเรา ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ดูใจของเรา สิ่งนั้นถ้าเรามีอำนาจวาสนา มองสิ่งใดมันจะสะเทือนใจไง คนที่มีคุณธรรมมองสิ่งใดแล้วมันสังเวช แล้วมันก็จะเตือนตัวเอง เราจะเป็นอย่างนี้บ้างไหม? เราจะเป็นอย่างนี้บ้างไหม? มันคิดขึ้นมาแล้วมันจะหาทางออกของเรา ทางออก หาทางไง มันเตือนตัวเองตลอด มันทำให้ไม่ประมาทในชีวิต มันทำให้เรามีสติปัญญา มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเราถ้าเรามีปัญญาไง มีปัญญามองไป

เขาบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติต่อเมื่อจิตใจที่มันมีคุณธรรมนะ แต่ถ้ามันไม่เป็นธรรม พอเห็นธรรมชาติแล้วมันเดือดร้อนไปหมดเลย มันอึดอัดขัดข้อง ไม่พอใจอะไรทั้งสิ้นเลย ธรรมะเป็นธรรมชาติทำไมมันบีบคั้นหัวใจขนาดนี้ล่ะ? แต่ธรรมะเป็นธรรมชาตินะ มันเข้าใจธรรมชาติ แล้วเราพยายามจะต่อสู้กับมัน ถึงที่สุดแล้วมันเหนือธรรมชาติ เพราะมันไม่เวียนตายเวียนเกิดไง

การเวียนตายเวียนเกิดเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง นี่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกข์ก็เป็นเราไง การเกิดก็เป็นเราไง ก็เป็นธรรมชาติไง แต่ถ้าเราชำระกิเลสสิ้นไปแล้ว เห็นไหม ทุกข์ ทุกข์เกิดจากเราไม่รู้ เกิดจากสมุทัยไง ถ้าไม่มีสมุทัย ทุกข์จะเกิดได้อย่างไร? ทุกข์จะเกิดได้อย่างไร? เราเข้าใจหมดเลย ถ้าไม่พอใจก็ทุกข์ แล้วเอ็งโง่ทำไม? เอ็งไปกว้านทำไม? ถ้ามันไม่มีสมุทัยมันจะทุกข์ได้อย่างไร? ทุกข์ก็คือทุกข์ แต่ทุกข์ไม่ใช่เรา ทุกข์อยู่นู่น กูไม่เกี่ยว นี่ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันเหนือธรรมชาติอย่างนี้ไง

ฉะนั้น ธรรมะถึงเหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติด้วยมรรคญาณ เหนือธรรมชาติด้วยการกระทำ แล้วจิตใจมันจะเป็นสัจจะความจริงของมันขึ้นมา มันจะเป็นธรรมธาตุอยู่ในใจของเรา นี่ถ้ามืออาชีพเราฝึกหัดของเราขึ้นไป จะมืออาชีพขนาดไหนเราก็มีครอบครัว เราก็มีความรู้สึกนึกคิด มันจะเป็นมืออาชีพจนไม่มีความอุปถัมภ์ค้ำจุนกันเลยหรือ เราจะมีความอุปถัมภ์ค้ำจุนของเรา แล้วดูแลหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง